ต๋อง (นามสมมุต) มาที่คริสตจักรแห่งหนึ่งเพราะภรรยาคะยั้นคะยอให้มา ต๋องซึ่งมีกลิ่นเหล้าติดตัวนั่งอยู่คนเดียวที่เก้าอี้หลังสุด ก้มหน้าก้มตาไม่มองใคร เพราะกลัวสายตาของคนที่มองมาที่เขาว่าเป็นคนติดเหล้าเนื่องจากกลิ่นตัว นอกจากนี้คลามละอายและรู้สึกผิดจากการที่ทะเลาะกับภรรยาบ่อยๆ บางครั้งถึงขั้นลงไม้ลงมือ การบริหารจัดการเงินที่ผิดพลาดเพราะแทนที่จะเก็บเงินไว้ให้ลูกและภรรยาใช้จ่ายในบ้าน เขากลับนำเงินไปดื่มเหล้า นอกจากนี้ความละอายเรื่องความล้มเหลวในการเลี้ยงดูลูก ไม่นับเรื่องใช้ยาเสพย์ติด ยิ่งทำให้ต๋องรู้สึกว่าอยากให้ช่วงเวลา 90 นาทีนี้ผ่านไปไวๆ เพราะเขาจะรู้สึกดีเมื่อไม่มีใครมายุ่งและก็รู้สึกสมควรแล้วที่จะไม่ต้องมีใครมาชอบหรือชื่นชมเขา (และนี่คือสิ่งที่พระธรรมยากอบพูดถึงไว้ด้วยใบบทที่ 2)
ผู้อ่าน คุ้นๆ กับเหตุการในลักษณะนี้ในคริสตจักรของท่านหรือในกลุ่มใดๆ ก็ตามที่ได้เข้าร่วมไหมครับ นี่คือภาพที่สะท้อนในเรื่องของวัฒนธรรมที่ผู้คนมีแนวคิดเรื่องความละอาย/เกียรติยศ ศักดิ์ศรีได้อย่างชัดเจน นักเขียนหลายๆ ท่านคาดการณ์ว่าในโลกใบนี้มีสังคมที่มีแนวคิดนี้อยู่ถึง 70-80 % และน่าสนใจมากด้วยว่าแนวคิดนี้มีจำนวนเพิ่มมากยิ่งขึ้นในประเทศแถบตะวันตกด้วย
ในบริบททางสังคมที่มีการใช้เรื่องศีลธรรมเป็นข้อบังคับทางสังคม เราสามารถเห็นแนวคิดเรื่องความละอาย/เกียรติยศ ศักดิ์ศรีนี้ได้อย่างเด่นชัด โดยที่ความละอายนั้นเป็นการใช้อำนาจควบคุมจากปัจจัยภายนอกโดยกลุ่มคน ในขณะที่ความรู้สึกผิดเป็นหลักการของการปฏิบัติตนจากปัจจัยภายในของคนหรือกลุ่มคน ยกตัวอย่างเช่น เวลามีเด็กหรือวัยรุ่นส่งเสียงดังรำคาญ หรือทำสิ่งที่ผิดเช่น ขโมยของ หรือเตะลูกบอลไปชนกระจกแตก เมื่อเราบอกว่า “ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับมันผิด” หรือ “พวกเราไม่ควรทำแบบนี้นะ” กลุ่มเด็กๆ เหล่านี้อาจจะยิ้มและหัวเราะนิดๆ แต่เมื่อเราเปลี่ยนแนวคิดและพูดว่า “เราจะบอกคนแถวนี้ว่าพวกเราเป็นขโมย” หรือบอกว่า “ถ้าคนแถวนี้รู้จะไม่มีใครไว้ใจพวกเราอีกแล้วนะ” เด็กๆ กลุ่มนี้ก็เริ่มสำนึกผิดและขอโทษ และก็เริ่มคืนของที่ขโมยไป ซึ่งถ้าเรามองลึกลงไปเราจะพบว่าคำพูดเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การกล่าวโทษโดยใช้การกระทำที่ทำให้คนที่ถูกกล่าวโทษถูกลดสถานะทางสังคม ซึ่งนำมาซึ่ง “ความละอาย” ในที่สุด
ในฉบับหน้าข้าพเจ้าจะเขียนถึงในเรื่องของผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมนี้ว่าส่งผลต่อคนๆ หนึ่งไปยังชุมชน สังคม รวมไปถึงระดับประเทศอย่างไร แต่ในฉบับนี้ผมขอจบด้วยเรื่องจากสมาชิกใหม่ที่พันธกิจน้ำหนึ่งแก้วที่ได้สะท้อนถึงคนที่เติบโตมาจากวัฒนธรรมนี้ได้อย่างชัดเจน
อบ (ผู้ชาย) อายุ 33 ปีเป็นชาวบุรีรัมย์ มาทำงานเป็นช่างไฟฟ้าที่บริษัทแห่งหนึ่ง มาที่กลุ่มนมัสการที่น้ำหนึ่งแก้วกับสมาชิกคนหนึ่งของเราในคืนวันศุกร์ อบจะนั่งเงียบๆ ก้มหน้า ไม่มองหน้าใคร และไม่คุยกับใคร ในช่วงเริ่มกิจกรรมก็มีการให้คนใหม่แนะนำตัวปกติ หลังจากนั้นก็ร้องเพลง แบ่งปันพระคัมภีร์ อธิษฐานเผื่อ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้พูดคุยกับอบเพื่อทำความรู้จักกันมากขึ้น และเพื่อให้เขาคุ้นเคย ในศุกร์ถัดมาอบก็มาที่กลุ่มของเราอีก ในครั้งนี้ผมเองได้เริ่มอธิษฐานและถามพระวิญญาณบริสุทธิ์ขอให้เปิดทางให้เข้าถึงอบมากขึ้นและขอให้พระองค์แตะต้องใจเขาด้วย พอแบ่งปันพระคัมภีร์จบ เราได้ทำการแบ่งกลุ่มอธิษฐาน โดยผมเองและคนในกลุ่มได้อธิษฐานเผื่อเขา โดยแตะไปที่ไหล่ของเขา พออธิษฐานเสร็จข้าพเจ้าก็ถามปกติว่ารู้สึกอย่างไรบ้างวันนี้ อบบอกว่า “ผมรู้สึกดีและอบอุ่นมา” โดยเฉาะตอนที่ข้าพเจ้าแตะไหล่เขาเพราะทำให้เขารู้สึกว่ามีคนใส่ใจ หลังจากเลิกกลุ่มเราก็พูดคุยกันต่อ และศุกร์ต่อมาอบก็รับเชื่อพระเจ้า พร้อมกับมีเป้าหมายในชีวิตในเรื่องของการเรียนต่อ และก็เป็นหน้าที่ของเราในการที่จะช่วยเขาค้นหาเป้าหมายว่าจะเรียนที่ไหน อย่างไร จึงจะเหมาะกับเขา และนี่คือวัตถุประสงค์ที่พันธกิจน้ำหนึ่งแก้วก่อตั้งมา เพื่อพัฒนาสร้างคน และสร้างผู้นำให้กับชุมชน